วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่และอายุยืน

คำตอบคือกินสายกลาง กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้ สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3  .  . ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาทีจะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด ฉะนั้นถ้า กินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็นพลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ 
ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น
ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา
 อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร ฉะนั้น การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่าน
 ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน วิธีฝึกมี 4 วิธี
1. 
ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4เดือน โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหาร
เย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า
 พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้
สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. 
ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3โมงเย็น 
3. 
กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
4. 
กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์
พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18  .  . กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน
ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน


ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า
 ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง 2 มื้อคือ เช้า กับ เพล

2.
 โรค Attention Deficit Trait

โดย
 ผศ . ดร . พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th
  
ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างไปในขณะเดียวกัน เช่นในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า

ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด

แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก Attention Deficit Trait หรือ ADT โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก

ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่ ?
ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ

Why Smart People Underperform
 เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น

ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่า ในช่วงหลังๆ เริ่มมี ผู้ใหญ่ เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เป็นโรคอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น คุณหมอท่านนี้ เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น Attention Deficit Trait หรือ ADT โดยสาเหตุของADT จะต่างจากโรคสมาธิสั้น เนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม แต่ADT นั้น จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก

ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน ( แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น ) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา

โรค
 ADT นี้ มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้นเราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา ดังนั้น เมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว

การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น ง่ายๆ ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น

โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ
 เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆมากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ( เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า )
ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์
 ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม " ปิดประตู "เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง

***
 ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADT กันบ้างไหมครับ ผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับ ทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับ เพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADT เนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน ( เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน ) ***

3.
 ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง 

เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้างแล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติขอผู้หญิงซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะ เป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด

เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ
 ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง 
จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี . ซี . เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย

เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้ น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือด เราอีก เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด

ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆวัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่ เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป กิโลกรัม ถ่ายออกมา ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุง ร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆหยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตก และไม่ได้รับการผสมพันธุ์เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน

เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์
 หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ เหมือนรุกใต้ดิน โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว ...



วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องควรรู้ ประจำเดือนบอกอะไรบ้าง

ผม ชอบคนไข้ผู้หญิงครับ เอิ่มนี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นหมอโรคจิตหรอกนะครับโปรดอย่าพึ่งเข้าใจผิดที่ พูดเช่นนี้เพราะนอกจากผมจะมีความชื่นชอบในตัวสาวๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสาเหตุ หลักจริงๆแล้วคือเพราะร่างกายของผู้หญิงมีข้อมูลที่ช่วยให้ผมรับรู้การทำงาน ของตับไตไส้พุงได้ชัดเจนกว่าผู้ชายซึ่งจะง่ายต่อการวินิจฉัยและรักษาอย่าง มากและนั่นก็คือ ประจำเดือนนี่เองครับคุณอาจจะไม่เชื่อเลยก็ได้ว่าผมรู้ข้อมูลของร่างกายคุณ มากมายแค่ไหนผ่านประจำเดือนของคุณผู้หญิงวันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังกันครับว่า ทำไมหมอจีนถึงชอบถามถึงประจำเดือนแถมถามละเอียดลงลึกถึงขั้นสีปริมาณ ก้อนเลือด รอบเดือนช้าเร็วทั้งๆที่ชั้นไม่ได้มาหาหมอเพราะเรื่องนี้ซักหน่อยก็ขอ วอนอย่าพึ่งเข้าใจผิดคิดว่าหมอลามกนะครับผู้หญิงมีความสัมพันธ์กับเลือดมาก เพราะต่างก็เป็นธาตุหยิน ( ธาตุเย็น) ทั้งคู่ ขณะเดียวกันพื้นฐานร่างกายของผู้หญิงก็มีความสัมพันธ์อวัยวะตับในทางแพทย์ จีนอย่างแน่นแฟ้นเพราะ


1. ตับเป็นอวัยวะ ที่กักเก็บเลือดไว้ก่อนจะปล่อยไปให้อวัยวะอื่นๆใช้งาน

2. เส้นลมปราณตับเดินผ่านอวัยวะเพศและหน้าอก

3. ตับเป็นตัวควบคุมการเดินของลมปราณในร่างกายให้คล่องตัวรวมไปถึงอารมณ์ต่างๆ ด้วยเมื่อทำความเข้าใจตรงนี้ได้แล้วต่อไปก็จะอ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิมครับ คราวนี้เรามาไล่ดูกันครับว่า สี ปริมาณ ก้อนเลือด รอบเดือนช้าเร็ว ทำให้หมอจีนรู้อะไรบ้าง

สีของเลืออดประจำเดือน

สีแดงเข้ม มักจะเป็นคนที่ร้อนในครับคิดสภาพว่าไฟมันร้อนเลือดเลยสีเข้ม เหนียวข้น คุณ มักจะหิวน้ำท้องผูก หงุดหงิดง่าย

สีแดงซีด คือคนที่ขาดเลือดครับ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นโรคโลหิตจางนะครับไปตรวจปริมาณเม็ดเลือดอาจจะยังปกติไม่มีปัญหา คุณมักจะเป็นคนไม่มีแรงครับ หน้าซีด เล็บซีดปากซีด เวียนศีรษะ หลงลืมง่าย นอนไม่หลับ

สีแดงคล้ำ คือคนที่มีเลือดคั่งอยู่ข้างในครับ ส่วนใหญ่ประจำเดือนสีนี้มักจะมีลิ่มเลือดออกมาด้วยเสมอ สีประจำเดือนแบบนี้เกิดได้หลายสาเหตุครับคุณอาจจะเป็นคนขี้หนาว
หรืออยู่ในห้องเย็น ๆเป็นประจำหรืออาจจะเป็นคนที่เครียดมาก เครียดบ่อย

ปริมาณของเลือดประจำเดือน ควรจะดูประกอบกับสีด้วยจะบอกข้อมูลได้ชัดเจนขึ้นไปอีกครับ

ประจำเดือนมาน้อย+สีแดงซีด เลือดน้อยจนไม่มีเลือดจะให้เสียแล้วมักมีอาการปวดท้องประจำเดือนด้วย

ประจำเดือนมาน้อย+สีแดงคล้ำ เลือดคั่งอุดทางเดินประจำเดือน ทำให้เหมือนประจำเดือนมาน้อย แต่ที่จริงแล้วคั่งอยู่ข้างในออกไม่ได้ต่างหาก รายการนี้ก็มักปวดท้องประจำเดือนด้วยเช่นกันแต่ถ้าเกิดประจำเดือนมาคล่อง หรือก้อนเลือดหลุดออกมาแล้วก็จะหายปวด

ประจำเดือนมามาก+สีแดงเข้ม เกิดจากความร้อนครับที่มามากก็เพราะความร้อนมันขับดันให้เลือด เดินไวเดินเยอะ

ประจำเดือนมามาก+สีแดงซีด อันนี้เป็นเพราะร่างกายขาดลมปราณครับ ลมปราณเป็นตัวควบคุมนำทางให้เลือดเดินไปในทางที่มันควรจะไป เมื่อลมปราณพร่องแล้วเลือดก็ไม่มีตัวควบคุม ไหลตามใจฉัน แล้วเมื่อเลือดไหลออกไปเรื่อยๆ ลมปราณก็จะยิ่งพร่องเพราะขาดเลือดหล่อเลี้ยง สุดท้ายเกิดเป็นวงจรอุบาทว์แย่ลงไปเรื่อยๆคุณจะมีอาการอ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรงวิงเวียนศีรษะ ไม่อยากอาหาร

ประจำเดือนมามาก+สีแดงคล้ำก็คือมีเลือดคั่งอยู่ครับ ประจำเดือนกระปิดกระปอยมาไม่หยุด แบ่งได้สองกรณีคือ ลมปราณพร่อง สีของเลือดจะซีด อีก ประเภทคือเลือดร้อน สีของเลือดจะสดครับ
ก้อนเลือดและลิ่มเลือด บางคนประจำเดือนมาทีเป็นก้อนๆครับมักมีอาการปวดประจำเดือนร่วมด้วย บางคนเหมือนมีเศษเนื้อหลุดออกมาด้วยเลย พอก้อนเลือดหรือเศษเนื้อหลุดออกมาแล้วประจำเดือนมักจะหายปวดครับก้อนเลือดและลิ่มเลือดก็คือเลือดคั่งเลือดเดินไม่สะดวก เกิดได้หลายสาเหตุ แต่หลักๆมีอยู่สองอย่างคืออารมณ์เสีย และ พิษเย็นครับ

รอบเดือนไม่ปกติ รอบเดือนมาก่อนเวลา มีได้หลายสาเหตุครับ โดยมากแบ่งออกเป็นสองส่วนคือเลือดร้อน หรือ ลม ปราณพร่องอาการดูได้จากข้างบน

รอบเดือนชอบมาหลังเวลา เพราะเลือดคั่ง พิษเย็น เลือดน้อยสามสาเหตุหลักๆ สองอันแรกเพราะมันทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี อันหลังเพราะไม่มีเลือดให้ไหลเวียน

การปวดประจำเดือน

การปวดประจำเดือนเป็นอะไรที่ผมสงสารผู้หญิงอย่างสุดซึ้งจริงๆครับ เพราะมันเป็นความปวดที่ทรมาณและน่าหวาดกลัว รู้ทั้งรู้ว่ามันต้องเจ็บทุกเดือนแต่ส่วนใหญ่ก็มักแก้ไขหลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้ ไม่เหมือนโดนต่อยโดนตบที่ยังวิ่งหนีได้

การปวดประจำเดือนแยกคร่าวๆออกมาได้ดังนี้ครับ

ปวดช่วงวันแรกๆพอมาเยอะขึ้นก็หายปวด มักมีอาการท้องแน่นๆ คัดหน้าอกควบคู่ไปด้วย ให้ถามตัวเองว่าคุณเป็นคนอารมณ์เสียง่ายหรือเปล่าอ๊ะๆอย่าหลอกตัวเองนะครับ
อาการมันฟ้องอยู่ครับ จากที่บอกไปข้างต้นว่าตับเป็นตัวควบคุมเลือดและลมปราณพออารมณ์ไม่ดีลมปราณก็จะเดินไม่คล่องลมปราณไม่เดิน เลือดก็เลยไม่เดินเพราะเหงาขาดเพื่อนอยู่ด้วยกันสองคนอบอุ่นดี แต่คนที่ไม่ดีคือตัวเราเองครับที่ต้องทนปวดประจำเดือนกันต่อไป

ที่รพ.จีนทุกปีเวลาเอนทรานซ์จะมีนักเรียนหญิงมาหาหมอเรื่องประจำเดือนตลอด

เลยครับเครียดกันซะ ปวดหลังจากประจำเดือนจะหมดหรือห มดแล้ว มักจะไม่ปวดรุนแรงมาก จะมีอาการอ่อนเพลียควบคู่ อันนี้เกิดจากเลือดน้อยครับ อารมณ์เดียวกับหัวใจขาดเลือดแล้วจะเจ็บหน้าอก

การปวดประจำเดือนกับความเย็นถ้าคุณปกติเป็นคนชอบกินน้ำเย็น น้ำแข็ง ไอติมนี่ของโปรดรักการว่ายน้ำ ใส่กระโปรงเปิดเข่าทำงานในห้องแอร์เย็นเจี๊ยบ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้คุณต้องทนทรมาณกับการปวดประจำเดือนหากคุณ

ยังไม่รีบแก้ไข นึกภาพง่ายๆหากเอาน้ำไปแช่ช่องฟรีซ น้ำก็จะแข็งไม่เคลื่อนไหว ประจำเดือนก็เหมือนกันครับ

เลือดไหลเวียนไม่ดีก็ปวดเอาสิครับ เพราะอย่างนี้แหละครับนักกีฬาว่ายน้ำจึงมักมีอาการปวดประจำเดือน

การลดความอ้วนกับประจำเดือน วันก่อนมีคนไข้คนนึงเป็นคนจีนสัญชาติแอฟริกันครับ คือหน้าตาเป็นคนจีนนะแหละแต่ร่างกายเหมือนคนแอฟริกัน ผอมจนเห็นกระดูกอะครับ เธอมาหาหมอด้วยโรคประจำเดือนไม่มา

ขอถามเพื่อนๆว่าพอจะเดาสาเหตุที่ประจำเดือนเขาไม่มาได้ไหมครับ? ถู๊กกกกกกกกกกหรือเปล่า

คนแบบเธอนั้นเราสามารถ เรียกได้ว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนครับ อยู่ดีไม่ว่าดี ลดความอ้วนซะ พวกลดความอ้วนมากๆเนี่ยจะมีความคิดในใจอย่างนึงว่า

' ฉันยังอ้วนอยู่' แม้ว่าจะหุ่นได้รูปแล้วก็ตาม แรกๆก็ลดความอ้วนอยู่หรอก แต่พอลดเกินขีดจำกัดมันพาลไม่อยากอาหารเอาแล้วครับ ระบบการย่อยมันเละไปหมดแล้ว

พอถึงตอนนี้จะยัดกินให้อ้วนเหมือนเดิมก็ไม่ได้แล้วเพราะ ' ท้องไม่รับ ' หุๆ แล้วพอลดความอ้วนมากๆเข้าจะเอาสารอาหารที่ไหนมาสร้างเลือดละครับ

คนประเภทนี้ถ้าอยากให้ประจำเดือนมาปกติก็หันมากินข้าวเหอะครับ

ไม่งั้นวันหลังจะ' ไม่ได้ท้อง ' นะครับ ' คือว่า?? เรา? เคยเครียดมากๆ? เลยอะค่ะ? เป็น? เวลาติดต่อ? กัน?? บางทีปวดหัวมาก? ร้องไห้จนเกร็งหน้าท้องหายใจ? ไม่? ออกเลย? แล้ว? ประจำ? เดือนก็หายไป? พอมันมาอีกที? มันออก? เป็น? ก้อนเลือดสีดำ? ๆ? เลยอะค่ะ? ' นี่เป็นคำพูดที่เพื่อนผมคนนึงบอกเล่าขออนุญาตนำมาใช้เพื่อการศึกษานะครับ เคสนี้บอกอะไรผมได้บ้างหลังจากผมฟังคำบอกเล่านี้ ผมจะรู้ว่าคนไข้รายนี้

1. เ ธอเป็นคนที่เครียดง่ายอารมณ์แปรปรวนบ่อย เวลารักษาต้องเน้นที่ลมปราณตับ

2. การผิดปกติของประจำเดือนเกิดจากลมปราณติดขัดเลือดไม่เดิน เกิดเป็นเลือดคั่งอุดตันทางเดินประจำเดือน ประจำเดือนเลยหายไป เนื่องจากเดือนที่แล้วประจำเดือนออกไม่หมดเป็นเลือดคั่งเก็บอยู่ข้างใน พอถัดมาอีกเดือนจึงเป็นก้อนเลือดสีคล้ำ

3. ควรสอบถามต่อไปว่าชอบกินของเย็นๆหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เย็นๆหรือไม่ เพราะนั่นจะทำให้ประจำเดือนยิ่งแย่

4. เธอน่าจะไม่ค่อยอยากอาหารเวลารักษาควรให้ยาจำพวกช่วยย่อยและบำรุงกระเพาะด้วย

5. เธออาจจะมีอาการเจ็บสีข้างคัดหน้าอกเวลาประจำเดือนมาโดยเฉพาะวันแรกๆ สาเหตุเกิดจากลมปราณตับติดขัด

6. นอกจากการรักษาโดยการจ่ายยาแล้วยังควรจะพูดจา คุยกับคนไข้มากๆ

ให้เขารู้สึกสบายใจเพราะต้นเหตุของอาการนี้เริ่มมาจากใจเป็นอันดับแรก เนี่ยแหละครับแค่ถามประจำเดือนคำถามเดียวผมก็รู้ได้มากขนาดนี้แล้ว โดยยังไม่ทันถามอาการอื่นๆเลย

แล้วพอไล่ถามรายละเอียดว่าเป็นอย่างที่ผมคิดไหมคน ไข้ก็จะตาลุกวาวจ้องผมกลับ เสมือนผมเป็นหมอดูไม่ใช่หมอจีนแล้ว เพราะว่าแม่นเหลือเกิน

ข้อควรปฎิบัติเกี่ยวกับประจำเดือน

1. อย่าเครียดลมปราณเดินไม่สะดวกผิดปกติไม่รู้นะเออ

2. อย่ากินของเย็นให้มากนัก
3. ใส่กางเกงไปทำงานเถอะการที่หัวเข่าตากแอร์เรื่อยๆทำให้ปวดประจำเดือน

4. ปวดประจำเดือนควรกินน้ำอุ่นการประคบท้องน้อยด้วยถุงน้ำร้อนมักจะให้ผลดี ลดการปวดได้

5. ปวดมากก็กินยาแก้ปวดได้ครับ
6. หากคุณเจอตัวเองตรงกับประเภทเลือดน้อยคุณควรกินอาหารพวกบำรุงเลือด เช่น ตับงาดำ ผักปวยเล้ง หรืออาจจะไปซื้อยาจีนที่ชื่อว่า ตังกุย

มาชงชาหรือต้มน้ำแกงกินก็ได้ครับไปร้านยาจีนซื้อตังกุยมาสักห่อละห้ากรัม ต้มน้ำสักสิบนาทีให้เหลือน้ำประมาณแก้วน้ำเล็กๆสักใบกินวันละครั้งครับ ช่วงที่ประจำเดือนมาก็หยุดพักครับรอจนประจำเดือนหมดก่อนค่อยกินต่อก็ได้

7. พวกเลือดร้อนควรอย่าไปต่อยตีกับใครไม่ใช่ละ ควรงดอาหารรสจัด ของทอด ของมัน นม เนย ชีสทุเรียน ของร้อนในต่างๆครับ

8. พวกเลือดคั่งอาจจะจิบสุราเล็กน้อยขอย้ำว่าเล็กน้อย อย่าเอาผมเป็นข้ออ้างในการออกไปดริ๊งค์นะครับ จุดประสงค์ก็เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น กลุ่มนี้ก็กินตังกุยได้เหมือนกัน

แต่กรุณาอย่าถามนะครับว่าไปกินตังกุยจั๊บได้ไหม เพราะผมยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไรใครรู้วานบอก ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณควรจะไปตรวจร่างกายหาสาเหตุที่แท้จริงของประจำเดือนไม่ปกติก่อน

Why ABCDEF used to classify bra sizes?








































































วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จิตวิทยา 4 ข้อที่บอกความเป็นคุณตรงที่สุด

แบบทดสอบจิตวิทยา

คือคุณ

ลองทำแบบทดสอบจิตวิทยานี้ดูนะ แล้วคุณจะต้องทึ่งในความตรงแบบไม่น่าเชื่อ

A. เมื่อคุณคิดจะตกแต่งสวนหน้าบ้านคุณจะให้ความสำคัญกับสิ่งใดเป็นอันดับแรก

1. ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา
2. บ่อน้ำ
3. ดอกไม้สีสรรต่างๆ
4. ลานหญ้า

B. อยากเห็นวิวที่มองจากหน้าต่างห้องนอนของคุณเป็นอย่างไร

1. เห็นท้องฟ้า
2. เห็นทะเล
3. เห็นต้นไม้
4. เห็นอาคารบ้านเรือน

C. ถ้าคุณจะต้องซื้อของดังต่อไปนี้ คุณจะใช้เวลาเลือกสินค้าใดนานที่สุด

1. รองเท้า
2. เสื้อผ้า
3. หนังสือ
4. นาฬิกาข้อมือ

D. ผ้าเช็ดหน้าที่คุณพกติดตัว มีลวดลายแบบไหน

1. ผ้าเช็ดหน้าสีสดใส
2. ผ้าเช็ดหน้าสีอ่อน
3. ผ้าเช็ดหน้าลายดอกไม้ ลายจุด
4. ผ้าเช็ดหน้าลายสก็อต หรือ ลายเส้น

***วิเคราะห์***


A. การแต่งสวนหน้าบ้าน สื่อ ถึงบุคคลแรกที่เราจะคิดถึงเมื่อประสบความสำเร็จ

1. ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา สื่อถึงพ่อแม่ หรือผุ้ใหญ่ที่นับถือ
2. บ่อน้ำสื่อถึงตัวคุณเอง
3. ดอกไม้สีสรรต่างๆ สื่อถึงคนรัก
4. ลานหญ้าสื่อถึงเพื่อน

B. วิวที่อยากเห็นจากหน้าต่างหมายถึงอาชีพที่คุณอยากทำในอนาคต

1. ท้องฟ้า สื่อถึง อาชีพอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ใช้ความสามารถพิเศษในตัวคุณ
2. ทะเล สื่อถึง อาชีพที่ต้องใช้อารมณ์หรือจิตนาการ ในการสร้างสรรค์งานของคุณ
3. ต้นไม้ สื่อถึง อาชีพ ทำธุรกิจในครัวเรือน มีผู้ร่วมงานหรือหุ้นส่วนเป็นคนในคนในครอบครัว
4. อาคารบ้านเรือน สื่อถึง อยากทำงานกับคนหมู่มาก อยากทำงานที่เข้าสังคม

C. ของที่คุณใช้เวลาเลือกนานคือ ของที่คุณเปลี่ยนแปลงได้ยาก

1. รองเท้า สื่อถึง นิสัยหรืออะไรบางอย่างในตัวคุณ
2. เสื้อผ้าสื่อถึง คนรักหรือความสัมพันธ์ของคนใกล้ชิด
3. หนังสือ สื่อถึง ความคิดของคุณ
4. นาฬิกาข้อมือ สื่อถึง กฎเกณฑ์ต่างๆที่กำหนดไว้ให้กับตัวเอง

D. ลักษณะของผ้าเช็ดหน้าสื่อถึงเรื่องราวในชีวิตทีทำให้คุณเสียน้ำตา

1. สีสดใส สื่อถึง เรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อน
2. สีอ่อน สื่อถึง คุณเป็นคนขี้เหงามักเสียน้ำตาให้ความว้าเหว่
3. ลายดอกไม้ ลายจุด สื่อถึง เสียน้ำตาให้กับความรักและคนรัก
4. ลายสก็อต ลายเส้น สื่อถึง เสียน้ำตาให้กับการเรียน การทำงาน

***