
ผลงานการสำรวจซึ่งมีขึ้นเมื่อต้นปีนี้ถูกตีพิมพ์บนเว็บไซต์นิตยสารแนชั่นแนลจีโอกราฟิก (National Geographic) และ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งชาติสหรัฐฯ สัปดาห์ที่แล้วถึงแม้ว่านักท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคนี้ รวมทั้งชาวลาวกับชาวไทยจำนวนไม่น้อยจะรู้จักถ้ำลอดทางน้ำไหลแห่งนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่เคยมีการสำรวจอย่างจริงจัง และนำภาพถ่ายความงดงามอลังการออกสู่สายตาชาวโลกมาก่อน เท่าที่มีการบันทึกเอาไว้ นักสำรวจชาวฝรั่งเศสได้ค้นพบถ้ำลอดแห่งนี้ในปี 1905 (พ.ศ.2448) โดยนั่งแพไม้ไผ่เข้าไป อีก 90 ปีต่อมา คือ ในปี 2538 นักสำรวจจากฝรั่งเศสที่อ่านพบเรื่องราวเกี่ยวกับถ้ำสวยงามแห่งนี้เข้าจึงได้กลับไปเยี่ยมชมอีกครั้งทีมสำรวจใหม่ที่นำโดยนักสำรวจถ้ำ จอห์น พอลแล็ค ( Jo hn Pollack) เดินทางไปยังเซบั้งไฟในปี 2549 เก็บความประทับใจกลับไป จากนั้นได้ออกหาทุนเพื่อการสำรวจถ้ำทั้งระบบ ทีมของพอลแล็ค กลับไปยังถ้ำลอดเซบั้งไฟในเดือน ก.พ.ปีนี้ จัดทำแผนที่และเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายภาพเก็บความงดงามของระบบถ้ำ ที่มีความยาวรวมกันเป็นระยะทางถึง 9.5 กิโลเมตร และได้นำออกเผยโฉมอันงดงามภายในออกสู่สายตาชาวโลก

ทุกสิ่งทุกอย่างในถ้ำลอดเซบั้งไฟล้วนใหญ่โตมหึมาน่าอัศจรรย์ยิ่ง
นักสำรวจในทีมยืนอยู่ต่อหน้าแท่งหินงอกมหึมาใกล้กับปากทางเข้า

คนร่างกายกำยำกลายเป็นคนแคระไปทันทีเมื่อยืนอยู่ท่ามกลาง "โขดหิน" มหึมาที่เกิดจากการทับถมของแคลไซต์มาชั่วนาตาปีจุดนี้อยู่ห่างจากปากถ้ำราว 3 กม.
การสำรวจครั้งนี้ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งชาติสหรัฐฯ เป็นผู้ออกทุน และใช้เวลาทั้งหมด 10 วันในอนุภูมิภาคอินโดจีน ยังมีถ้ำลอดที่สลับซับซ้อนในเขตวนอุทยานแห่งชาติฟงญา-แก๋บ่าง (Phong Nha-Ke Bang) ที่ครอบคลุมพื้นที่ จ.กว๋างบี่ง (Quang Binh) ไปจนถึง จ.เหงะอาน (Nghe An) ในภาคกลางตอนบนเวียดนามระบบถ้ำลอดแม่น้ำและถ้ำหินงอกหินย้อยทั้งหมดรวมระยะทางกว่า 60 กิโลเมตร ที่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาติในเขตวนอุทยานที่เวียดนามได้จดทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น